Skip to content

ห้องเรียนคุณครูแมว

Wide screen resolution Increase font size Decrease font size Default font size default color black color cyan color green color red color
เสียงจากความเงียบ
โต๊ะทำงานห้องครูแมว - งานเขียนครูแมว
เขียนโดย นฤมล เนียมหอม   

        ฉันได้ยินเสียงใบของต้นประดู่ลู่ตามลมที่พัดเบาๆ ขณะนั้นฉันกำลังตัดแต่งต้นไม้ด้วยความระมัดระวัง นี่เป็นสิ่งที่ฉันชอบทำอย่างยิ่งยามที่ฉันสบายใจ แล้วจู่ๆ ฉันได้ยินเสียงน้องต้นแว่วมา

        "แม่บอกว่าอย่าเก๊เพื่อนนะ"

        ฉันพลันนึกขึ้นได้ว่าน้องต้นเคยพูดเรื่องนี้กับฉันหลายครั้งแล้ว แต่ฉันไม่ได้ติดใจ และไม่ได้คิดว่ามีประเด็นอะไรที่สามารถจะสืบสาวได้จากเรื่องนี้

        ฉันหวนนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นอีกครั้ง เมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้ว ครูดาวโทรมาหาฉันบอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากคุยด้วย เราจึงนัดรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน

        "น้องต้น เป็นเด็กผู้ชายตัวผอมๆ ตัวเล็กนิดเดียว แต่ชอบรังแกเพื่อน วันก่อนช่วงนอน-

        กลางวันที่ดาวออกมานั่งทานข้าวหน้าห้องกับพี่ส้ม น้องต้นขึ้นไปนั่งคร่อมเพื่อนผู้หญิง ดึงเสื้อด้วย แล้วก็ขย่มใหญ่เลย ดาวหันไปเห็น เลยกระชากน้องต้นออกมา ดึงเขาแรงมาก เพราะรู้สึกว่าน้องต้นทำในสิ่งที่แย่มาก แต่พอเห็นหน้าน้องต้น เขาจ๋อยมาก ดาวรู้เลยว่าดาวพลาดไปแล้ว ไม่ค่อยสบายใจเลย จะทำอย่างไรดี ปล่อยไว้ก็ไม่ดี แต่ที่ทำแล้วก็เหมือนเราเป็นครูที่ไม่ดีเลย" ครูดาวเล่า

        ฉันนึกภาพเหตุการณ์ตามที่ครูดาวเล่าให้ฟัง คิดว่าความไว้เนื้อเชื่อใจของน้องต้นที่มีต่อครูดาวคงจะลดถอยลงไปมิใช่น้อย และรู้ว่าครูดาวเองก็รู้สึกผิดหวังกับความเป็นครูของตนเองเช่นกัน ทำให้ฉันเกิดความตระหนักว่า การรู้สึกถึงปัจจุบันขณะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการกระทำต่างๆ การไม่รู้สึกตัวเพียงชั่วครู่ชั่วยามทำให้เกิดการกระทำที่ส่งผลเสียต่อทั้งตนเองและคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นครูของเด็กเล็กๆ ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกถ่ายทอดไปสู่เด็กทั้งทางกายและจิตใจ 

        ครูดาวเป็นน้องที่ฉันรักมาก เขาเป็นครูที่ดีคนหนึ่งที่ฉันเคยรู้จัก ฉันไม่แน่ใจว่าจะช่วยเขาได้อย่างไร แต่มีความรู้สึกที่แจ่มชัดว่าอย่างไรก็ต้องช่วย และมานึกได้ภายหลังว่า "นี่แหละคือสิ่งที่ฉันต้องศึกษา" เป็นคำตอบที่ฉันเพียรพยายามคิดอยู่เป็นสัปดาห์ว่าจะเลือกกรณีศึกษาอย่างไรในวิชาคุณธรรมและค่านิยมทางการปฏิบัติทางการศึกษาปฐมวัย การศึกษาของฉันจึงเริ่มต้นด้วยใจที่อยากช่วยน้อง

        ฉันได้พบน้องต้นครั้งแรก น้องต้นเป็นเด็กผิวขาว สูงประมาณ 100 เซนติเมตร ตัวผอม หัวค่อนข้างโต โดยเฉพาะส่วนที่เหนือใบหู คางแหลม คิ้วหนาและค่อนข้างสั้น ดวงตาจะหรี่ปรือเกือบตลอดเวลา ขนตาตรงยาว จมูกเล็กๆ เชิดขึ้นนิดหน่อย และปากสีชมพูอมแดงเรื่อๆ ที่ยิ้มง่าย เวลายิ้มจะเห็นฟันผุเต็มปากเลยทีเดียว แต่โดยรวมแล้วน้องน้องต้นก็ดูน่ารัก เสื้อผ้าที่ใส่ก็ดูสะอาดสะอ้าน มีแต่ถุงเท้าเท่านั้นที่ยืดและกองลงมา ครั้งแรกที่เห็นฉันนึกไปว่าหน้าตาของเขาเหมือนนักแสดงคนหนึ่งในละครโทรทัศน์ แล้วก็หวนนึกถึงที่ครูดาวเล่าว่าเขาเป็นเด็กแปลกๆ ชอบรังแกเพื่อนเป็นประจำ ฉันจึงพยายามมองดูว่าเขาจะรังแกใคร อย่างไรบ้าง

        ฉันเข้าไปโรงเรียนอย่างพร้อมที่จะบันทึกสิ่งที่เห็น มีทั้งสมุดบันทึก และกล้องดิจิตอล วันแรกที่เข้าไปเป็นช่วงเวลารับประทานอาหารกลางวันของเด็กๆ พอดี น้องต้นเดินถือถาดมาวางที่โต๊ะ นั่งที่เก้าอี้แล้วค่อยๆ เลื่อนตัวลงไปนั่งใต้โต๊ะ ฉันเห็นเขานั่งตัวงอๆ อยู่สักพัก แล้วจึงดึงขาเพื่อนๆ เด็กชายคนหนึ่งก้มลงไปพูดกับเขาว่า "น้องต้นขึ้นมาสิ ขึ้นมาเร็ว" น้องต้นเกาะเก้าอี้มองมาข้างนอก เอามือดึงขาเพื่อนคนโน้นคนนี้ จนกระทั่งครูดาวเดินมาบอกว่าได้เวลารับประทานอาหารแล้ว น้องต้นจึงขึ้นมานั่งที่เก้าอี้ รับประทานไปได้เกือบหมดถาดน้องต้นก็เริ่มอมข้าว และพ่นออกมาแรงๆ ข้าวที่พ่นออกมาบางส่วนกระเด็นไปถูกเพื่อนๆ เมื่อเพื่อนร้องเสียงดัง น้องต้นก็หัวเราะ ครูดาวจึงเดินมา

"น้องต้นถ้าอิ่มก็เก็บถาดได้แล้วค่ะ" ครูดาวพูดกับน้องต้น และน้องต้นลุกขึ้นหยิบถาดเดินออกไป

"พี่เห็นไหมคะน้องต้นชอบเป็นแบบนี้ ชอบแกล้งเพื่อน สงสัยพี่มาสังเกตเลยรู้ตัว ธรรมดาล่ะก็ น่าดูเลย" ครูดาวบอกฉัน

        หลังจากที่ได้ใคร่ครวญแล้ว ฉันจึงพบว่าการพบกันครั้งแรกของฉันกับน้องต้นดูจะไม่ราบรื่นเท่าไร เพราะฉันเฝ้าครุ่นคิดว่าน้องต้นเป็นเด็กที่ค่อนข้างก้าวร้าว ฉันจึงมองหาแต่ความก้าวร้าวของเขา และการที่ฉันถือสมุดโน้ตคอยจดบันทึกพฤติกรรม และตามถ่ายภาพน้องต้นตลอดเวลานั้น เป็นการรบกวนเขาอย่างยิ่ง เมื่อนึกย้อนไปถึงในชั่วโมงเรียนที่เราพูดคุยกันถึงเรื่อง Contemplative Observation ซึ่งเป็นการสังเกตด้วยการเฝ้าดูปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าเราโดยไม่เอาความคิดเดิมของเราเข้าไปเป็นกรอบในการสังเกต เป็นการดูให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อสร้างภาพของ

        ปรากฏการณ์นั้นๆ ให้แจ่มชัดในใจของเรา โดยไม่คาดหวังว่าจะเป็นอย่างที่เราคิดไว้ เรื่องนี้ทำให้ฉันเกิดความตระหนักว่าถ้าครูเริ่มต้นด้วยการคิดอย่างมีอคติกับเด็ก ไม่ว่าจะคิดว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กพิเศษ เป็นเด็กก้าวร้าว หรือชอบพูดโกหก ย่อมจะทำให้มองเด็กและตีความเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างเข้าข้างความคิดของตัวเอง และในที่สุดจะนำไปสู่การปฏิบัติกับเด็กอย่างไม่เหมาะสม ฉันจึงตั้งใจแน่วแน่ที่จะเริ่มต้นใหม่กับน้องต้น

        ฉันเข้าไปที่ห้องเรียนของน้องต้นอีกหลายครั้ง การพบกันครั้งต่อๆ มา ฉันไม่ได้นำสมุดบันทึกและกล้องติดตัวไปด้วย ฉันพบว่าการมองปรากฏการณ์พร้อมๆ กับการสังเกตความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ยากกว่าการสังเกตและจดบันทึกพฤติกรรมยิ่งนัก ฉันพยายามฝึกตนเองให้ได้ในเรื่องนี้ด้วยการหยุดนิ่งๆ สักครู่ก่อนจึงก้าวเท้าเข้าไปที่ห้องเรียนของน้องต้น ฉันหยุดเพื่อที่จะตั้งใจว่าจะมองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างที่มันเป็นจริงๆ เหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตยังดำเนินตามปกติ มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป คือ การพูดคุยของฉันกับน้องต้นค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ 
       
        หลังจากที่ได้พูดคุยกันหลายครั้ง วันหนึ่งที่ฉันเข้าไปที่โรงเรียน น้องต้นเดินมาสะกิด ฉันหันไปทักทาย และกอดเขา จึงเพิ่งรู้ว่าตัวน้องต้นผอมมาก

"ผอมจังเลยนะเรา" ฉันพูด

        น้องต้นยิ้มรับ ฉันจึงจับมือทั้งสองข้างของน้องต้นขึ้นมา ฉันรู้สึกว่ามือของน้องต้นหยาบมากจนน่าตกใจแต่ฉันไม่ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้

"อยากทานขนมอะไรไหมคะ มาครั้งหน้าจะได้ซื้อมาฝาก" ฉันถาม

"ไม่ต้อง นี่" น้องต้นตอบพร้อมทั้งตบกระเป๋ากางเกง "มีตัง"

        น้องต้นเริ่มแกะหนังยางที่มัดกระเป๋าหยิบเหรียญ 5 บาท ออกมาใส่มือฉัน ฉันดูเหรียญสักพักจึงส่งคืนใส่มือน้องต้น น้องต้นเอาเหรียญใส่กระเป๋ากางเกง ส่งยางให้ฉัน

"มัดยางให้หน่อย" น้องต้นพูด

        ฉันรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราดีขึ้นบ้างแล้ว 

        ครั้งหนึ่งน้องต้นพยายามพิสูจน์ความสัมพันธ์ของเรา ขณะที่เพื่อนๆ ของน้องต้นอยู่กับฉัน ฉันเหลือบไปเห็นน้องต้นนอนคว่ำ เชิดหน้าขึ้น แขนเหยียดยาวไปข้างหน้าที่พื้นหน้าห้องน้ำ แน่นอนที่ว่าพื้นตรงนั้นเฉอะแฉะ เป็นพื้นตรงที่เด็กๆ เหยียบย่ำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน น้องต้นค่อยๆ คืบไปข้างหน้าในท่าเดิม เขาเลื้อยแบบนั้นลงบันไดหน้าห้องน้ำ 5 ขั้น และเหลือบมองมาที่ฉัน

        "หนูกำลังจะพิสูจน์ความรักของครูใช่ไหม หนูกำลังคิดว่าครูจะทำกับหนูเหมือนที่หนูเคยถูกกระทำมาใช่หรือเปล่า" ฉันคิด
ฉันตรงไปที่เขาด้วยจังหวะก้าวเดินปกติเท่าที่ความคิดฉันบอก ย่อตัวลง ประคองเขาลุกขึ้น ตัวเขาเบาแค่ 14 กิโลกรัม ฉันมีแรงพออยู่แล้ว

"ลุกขึ้นไปเข้าแถวกันเถอะค่ะ ไหนดูสิ เสื้อเปื้อนหมดหรือเปล่า พื้นเลอะ เสื้อหนูเปื้อนหมดเลย" ฉันบอกน้องต้น พลางค่อยๆ ปัดเสื้อ จัดเสื้อให้เขา

น้องต้นยิ้มให้ฉัน และวิ่งไปเข้าแถวรวมกับเพื่อนๆ
       
       ฉันแปลกใจตนเองกับเหตุการณ์นี้ไม่ใช่น้อย ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ฉันอาจโมโหและคิดว่า "ดูสิ พื้นเฉอะแฉะขนาดนั้นนอนลงไปได้อย่างไร" หรือ "ช่างไม่รู้เรื่องเลย" แล้วฉันอาจวิเคราะห์ว่าน้องต้นแสดงพฤติกรรมเช่นนี้เพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่วันนี้ฉันรู้เท่าทันอกุศลที่เป็นความโมโห สามารถประคองตั้งจิตของตัวเองไว้ได้ หลังจากที่ฉันสังเกตเขาอย่างจริงจังมาประมาณ 2 เดือนกว่าๆแล้ว ฉันแทบไม่เชื่อว่าการสังเกตเท่านั้นจะนำมาซึ่งความอดทนต่อพฤติกรรมแปลกๆ เช่นนี้ หลังจากวันนั้นครูดาวได้เล่าให้ฉันฟังว่าน้องต้นถามถึงฉันบ่อยขึ้น ฉันรู้ว่าฉันผ่านการทดสอบของน้องต้นแล้ว

ฉันจำเรื่องที่ฉันกับครูดาวพูดคุยกันในระยะแรกได้ดี ครูดาวมีความรู้สึกหนักใจที่น้องต้นรังแกเพื่อนบ่อยๆ

"น้องต้นอาจเป็นเด็กพิเศษ อาจเป็นเด็กสมาธิสั้นก็ได้นะ" ครูดาวตั้งข้อสังเกต

"ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ" ฉันถาม

"ก็เขาไม่ค่อยอยู่นิ่ง ทำร้ายเพื่อนบ่อยๆ" ครูดาวตอบ "ดาวจะลองคุยกับแม่เขาให้พาไปหาหมอ เผื่อได้ยามาจะดีขึ้น"

        ฉันครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่นานทีเดียว ฉันรู้สึกว่าถ้าครูดาวเริ่มต้นมองน้องต้นในทางลบ ไม่ว่าน้องต้นจะทำอะไรก็สามารถตีความในทางลบได้เช่นกัน ฉันจึงเล่าวิธีการสังเกตเด็กแบบ Contemplative ให้ครูดาวฟัง และตั้งคำถามกลับไปว่า

"น้องต้นเขาอยากทำร้ายเพื่อนจริงๆ หรือเป็นเพราะว่าเราคิดก่อนว่าเขาชอบแกล้งเพื่อน"

ครูดาวบอกฉันว่าจะลองสังเกตอีกครั้ง เราจึงตกลงกันว่าจะตั้งใจสังเกตน้องต้นอย่างที่เขาเป็นจริงๆ ด้วยกัน

        เด็กๆ ในห้องมักจะบอกฉันว่าน้องต้นดื้อ เวลาฉันเข้าไปที่ห้องเรียน เด็กคนแล้วคนเล่าเวียนกันมาบอกฉันแล้วก็เดินไป แต่สิ่งที่ทำให้ฉันแปลกใจกว่าคำพูดของเด็กๆ เหล่านั้น คือ น้องต้นมักจะยิ้ม ยักคิ้ว หรือหลิ่วตาให้ เมื่อเพื่อนพูดเช่นนั้น

"ดาวสังเกตไหมว่าเด็กๆ ในห้องชอบพูดว่าน้องต้นดื้อ" ฉันถามครูดาว

"สังเกตสิคะ" ครูดาวตอบ "ดาวรู้ เป็นความผิดของดาวเอง ช่วงแรกๆ ดาวชอบพูดอย่างนี้ ขอเวลาสักพักน่าจะดีขึ้นนะ ดาวคุยกับเด็กๆ แล้ว ต้องให้เวลาเขา"

        ฉันตระหนักว่าครูดาวเริ่มคิดถึงผลของการกระทำของตน และพยายามแก้ไขอย่างเต็มที่เช่นกัน เราเคยคุยกันเรื่องของความโกรธ ฉันได้เล่าเรื่องแม่ชีกับเด็กที่มาฟ้องว่าถูกเพื่อนแกล้ง ให้ครูดาวฟัง โดยคุยกันว่าเมื่อเด็กโกรธ เราทำอย่างไร เราโกรธตามไป แล้วทำให้เขาโกรธมากยิ่งขึ้นหรือเปล่า เราเคยมองเห็นความโกรธ รู้เท่าทัน และช่วยให้เด็กจัดการกับความโกรธหรือไม่

        เราคุยกันอีกหลายครั้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ การเปลี่ยนแปลงของครูดาวเริ่มต้นจากความสงสารที่มีต่อน้องต้น อันเนื่องมาจากการที่น้าเรือนคนขับรถรับส่งนักเรียนที่น้องต้นนั่งไปกลับโรงเรียนเล่าให้ฟังว่าน้องต้นกลับไปบ้านก็ต้องอยู่คนเดียว พ่อแม่กว่าจะกลับก็ดึก ประกอบกับช่วงนั้นมีพยาบาลมาตรวจร่างกายเด็ก และตรวจพบว่าน้องต้นเป็นโรคขาดสารอาหาร และต้องกินยาบำรุง เมื่อเริ่มต้นสงสาร จึงค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นเมตตา แล้วครูดาวจึงเริ่มมีมุมมองต่อน้องต้นที่เปลี่ยนไป

"น้องต้นน่ารักขึ้นมาก เขาไม่ค่อยแกล้งใครแล้ว ไม่รู้เป็นเพราะว่าดาวไม่ค่อยโกรธเขาหรือเปล่า" ครูดาวเล่าให้ฟัง

"ดาวคิดว่าเพราะอะไร" ฉันถาม

"น่าจะเป็นส่วนหนึ่งนะ พอไม่โกรธความรู้สึกดีๆ ก็มากขึ้น" ครูดาวตอบ

จากการคุยกันครั้งนี้ ฉันมองเห็นผลของความเมตตาของครูดาวที่มีต่อน้องต้น ที่ส่งถึงน้องต้นและส่งถึงตัวครูดาวเช่นกัน

        แล้ววันนี้ฉันจึงได้ยินเสียงจากความเงียบ ความเงียบบนฐานของความผูกพันของ น้องต้น ครูดาว และฉัน เตือนให้ฉันนึกถึงคำพูดของน้องต้นที่ฉันละเลยมาเป็นเวลานาน

"แม่บอกว่าอย่าเก๊เพื่อนนะ"

        เสียงของน้องต้นที่ย้ำอย่างนี้ ทำให้ฉันสงสัยว่าแม่ของน้องต้นพูดประโยคนี้ตอนไหนบ้าง พูดบ่อยไหม ฉันและครูดาวได้พยายามไปสอบถามจากคนที่เลี้ยงน้องต้น จึงได้รู้ว่าแม่กับพ่อของน้องต้นออกจากบ้านแต่เช้าทุกวัน และกลับมาถึงบ้านประมาณสี่ทุ่มซึ่งน้องต้นมักจะเข้านอนแล้ว ตอนเช้าก่อนออกไปขายของแม่มักจะพูดกับน้องต้นว่า "อย่าเก๊เพื่อนนะลูก" แล้วก็ต้องรีบออกไป ไม่ค่อยได้คุยอย่างอื่น ฉันจึงตั้งสมมุติฐานว่าน้องต้นคงต้องการรักษาสายสัมพันธ์อันน้อยนิดนี้เอาไว้ หากแม่พูดกับน้องต้นเช่นนี้ แค่นี้ น้องต้นอาจต้องการให้แม่ยังคงพูดกับเขาทุกวัน ถ้าไม่อยากให้เสียงของแม่หายไป จึงต้อง "เก๊เพื่อน" ตามที่แม่พูด

        ฉันกับครูดาวสืบสาวข้อมูลเพิ่มเติม จึงได้รู้ว่า แม่ของน้องต้นตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุน้อย และต้องทำงานหนัก ตอนอยู่ในท้องแม่ได้ 8 เดือน รกพันคอน้องต้น แพทย์จึงต้องผ่าตัดน้องต้นออกมา ตอนแรกคลอดน้องต้นน้ำหนัก 2 กิโลกว่าๆ แม่ให้น้องต้นกินนมแม่ได้อาทิตย์เดียวก็ต้องไปขายของต่อ พ่อกับแม่ได้จ้างป้าข้างบ้านให้เลี้ยงน้องต้น และมีเวลาให้น้องต้นเพียงแค่ช่วงเช้าก่อนออกไปขายของ เป็นเช่นนี้มาเป็นเวลา 4 ปีเศษๆ แล้ว

        ความเงียบได้เปิดเผยเรื่องราวของน้องต้นออกมา หลังจากที่ฉันและครูดาวสร้างภาพของน้องต้นขึ้นในใจชัดเจนกว่าเดิมแล้ว เราวางใจในความรักของกันและกัน เหตุการณ์จึงพร้อมที่จะเผยตัวเองออกมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจไว้ก่อน ความใส่ใจของเราซึ่งเป็นผู้ใหญ่เผยให้เราเห็นแนวทางที่จะช่วยเหลือน้องต้น ครูดาวและฉันตั้งใจว่าเราจะต้องค่อยๆ พูดคุยกับแม่ของน้องต้น แม้ความพยายามนี้จะทำได้ไม่ง่ายนัก เราอาจเปลี่ยนแม่ของน้องต้นไม่ได้ แต่เราจะอธิษฐาน โดยจะพยายามที่เหตุ จะใช้พลังอย่างเต็มที่ในเหตุที่เราสันนิษฐานนี้ จริงอยู่ว่าสิ่งที่เผยตัวเองออกมาอาจไม่ใช่ทั้งหมดที่จะทำให้เราสามารถช่วยเหลือน้องต้นได้ อย่างน้อยครูดาวและฉันก็ได้ทำหน้าที่ของตนเท่าที่จะทำได้ หากผลจะเป็นเช่นไรก็คงต้องเป็นเช่นนั้น ฉันวางใจว่าทุกอย่างจะต้องเปิดเผยตัวเองออกมาอีกในไม่ช้า

หมายเหตุ ชื่อที่ใช้ในงานเขียนทุกชื่อเป็นชื่อสมมติ


 *** บทความนี้สามารถดาวน์โหลดไฟล์รูปแบบ pdf ได้ ***  



ความคิดเห็นผู้ใช้

เสนอแนะโดย saowalaknoorod เปิด 2013-11-25 19:11:08
ขอชื่นชมค่ะ เด็กเช่นนี้มีอยู่กับเราเสมอ การแก้ปัญหาก็คือต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่ง่ายที่จะแก้ปัญหา แต่เมื่อแก้ปัญหานี้ได้ จะพบความสุขจริงๆ คิดถึงตอนตนเองเป็นเด็กก็เป็นเด็กมีปัญหา เมื่อพบครูดี จึงได้พบวิถีชีวิตใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม ขอบพระคุณคุณครูจริงๆที่เข้าใจ และช่วยให้ดิฉันมีวันนี้ เช่นเดียวกัน ดิฉันก็หวังว่าจะได้ใช้ชีวิตเช่นนี้กับเด็กๆรุ่นต่อไป ให้เรามาช่วยแก้ปัญหาครอบครัวซึ่งมีมากมายในสังคมไทยสมัยนี้ คนละไม้คนละมือ ปัญหาจะคลี่คลายได้ค่ะ อธิษฐานขอให้ได้เป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนช่วยสังคมในหน้าที่ที่เรามี ขอให้เรามองเห็นส่วนดีของผู้อื่นอยู่เสมอ และช่วยพยุงกันขึ้นค่ะ 
เสาวลักษณ์ หนูรอด

Please login or register to add comments