ห้องเรียนที่ส่งเสริมการรู้หนังสือสำหรับเด็กปฐมวัย |
โต๊ะทำงานห้องครูแมว -
งานเขียนครูแมว
|
เขียนโดย นฤมล เนียมหอม
|
หน้า 2 จาก 3 นักการศึกษาหลายท่านได้อธิบายลักษณะการจัดสภาพแวดล้อมในห้องเรียนปฐมวัยที่ส่งเสริมการเรียนภาษาของเด็กไว้ ดังนี้
บุษบง ตันติวงศ์ (2536: 144-145) กล่าวว่า สภาพแวดล้อมในห้องเรียนที่ส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาจะมีวัสดุอุปกรณ์ที่เปิดโอกาสให้เด็กได้อ่านเขียนจากภาษาที่อยู่รอบตัวตลอดเวลา เช่น ในมุมบ้านจะมีชื่อเจ้าของบ้าน มีบ้านเลขที่และตู้จดหมายตรงทางเข้าบ้าน มีปฏิทิน สมุดโน้ตและดินสอวางไว้ใกล้ๆโทรศัพท์ เป็นต้น เด็กๆจะได้ทำกิจกรรมหลายอย่างในช่วงเวลาเดียวกัน เด็กได้ตัดสินใจเลือกกิจกรรมเหล่านั้นเอง ได้คิดเรื่องที่ตนสนใจและมีประสบการณ์ตรง ได้เขียนจากความเข้าใจและประสบการณ์ และได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อน
อารี สัณหฉวี (2535: 24) กล่าวว่า เด็กควรจะมีสิ่งแวดล้อมที่เป็นตัวหนังสือ มีกิจกรรมปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและครู มีโอกาสเลือกและทำงานที่ชอบและสนใจ ห้องเรียนควรจัดให้มีมุมหรือศูนย์ต่างๆ เช่น มุมบ้าน มุมบล็อก มุมวิทยาศาสตร์ แต่มุมที่เป็นมุมหนังสือนั้นจะมีชั้นวางหนังสือเป็นมุมห้องสมุด มีวรรณกรรมเด็กมากขึ้น และอาจเพิ่มมุมเขียนด้วยก็ได้ มุมห้องสมุดจะถือเป็นจุดเด่นในห้องเรียนเด็กสามารถขอยืมหนังสือกลับไปอ่านที่บ้านได้ สำหรับหนังสือในมุมห้องสมุดนั้นครูจะต้องแสวงหาเพิ่มเติมและเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ส่วนมุมอื่นๆก็ต้องมีเครื่องเขียน ป้าย ประกาศต่างๆ และที่จัดแสดงผลงานเด็กไว้ด้วย เพื่อให้เด็กคุ้นกับตัวหนังสือ
มอโรว์ (Morrow 1989: 172-180) กล่าวว่า ครูสามารถจัดทุกมุมในห้องเรียนให้มีลักษณะที่เอื้อต่อการเรียนภาษาได้โดยจัดให้มีวัสดุอุปกรณ์สำหรับอ่านและเขียนไว้ในแต่ละมุมโดยให้สอดคล้องกับหัวข้อในมุมนั้น และมุมที่เน้นมากที่สุด คือ มุมห้องสมุด การจัดมุมห้องสมุดจะต้องให้มีทั้งกิจกรรมการอ่านและการเขียน เขากล่าวว่ามุมห้องสมุดที่ดีควรมีหนังสือจำนวน 5-8 เล่มต่อเด็ก 1 คน มีหนังสือหลายประเภท และมีการเปลี่ยนแปลงหนังสือตามโอกาส มีวัสดุอุปกรณ์สำหรับอ่านและเขียนที่หลากหลาย โดยจะต้องจัดให้เป็นระบบ น่าสนใจ และดึงดูดใจให้เด็กให้เด็กเข้าไปอ่านและเขียน ที่สำคัญก็คือเด็กจะต้องได้เลือกทำกิจกรรมที่ตนต้องการที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง และทำกิจกรรมต่างๆด้วยความสนุกสนาน สรุปได้ว่า สภาพแวดล้อมในห้องเรียนที่เอื้อต่อการเรียนรู้ภาษาจะจัดให้มีมุมเล่นหรือมุมประสบการณ์ต่างๆ โดยมีมุมที่เด่นชัด คือ มุมห้องสมุด มุมอ่าน มุมเขียน ส่วนมุมอื่นๆที่อาจจัดไว้ ได้แก่ มุมวิทยาศาสตร์ มุมบล็อก มุมบ้านหรือมุมบทบาทสมมุติ ฯลฯ โดยที่มุมทุกมุมที่จัดไว้สามารถจัดให้เอื้อต่อการเรียนภาษาได้โดยจัดให้มีหนังสือ ป้าย สัญลักษณ์ เครื่องหมาย หรือกิจกรรมต่างๆ ที่มีความหมายในการสื่อสารกับเด็ก มีวัสดุอุปกรณ์ที่สามารถกระตุ้นให้เด็กต้องการใช้ภาษา และมีการปรับเปลี่ยนไปตามความสนใจของเด็ก
3. กิจวัตรประจำวันส่งเสริมการใช้ภาษา
กิจวัตรประจำวันในห้องเรียนปฐมวัยควรเอื้อให้เด็กได้ใช้ภาษาตลอดทั้งตั้งแต่มาถึงโรงเรียนจนกระทั่งกลับบ้าน ในที่นี้ขอนำเสนอประสบการณ์ของผู้เขียนในการจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยด้านภาษา ตามลำดับในกิจวัตรประจำวัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ช่วงเวลา
|
กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาของเด็ก
|
มาถึงโรงเรียน
|
· สนทนากับครู และเพื่อน
· ลงชื่อมาโรงเรียน หรือเลือกป้ายชื่อใส่ในแผ่นป้ายสำรวจการมาโรงเรียน
· เลือกหนังสือมาอ่านอย่างอิสระตามความสนใจ
· เล่นเกมภาษาที่ครูจัดเตรียมไว้ หรือเกมภาษาที่เด็กมีส่วนร่วมในการจัดทำ
· การฟังครูอ่านออกเสียง
|
กิจกรรมทักทาย
|
· ทำปฏิทินร่วมกัน
· สังเกตและทำบันทึกเกี่ยวกับอากาศประจำวัน
· ร่วมสนทนาข่าวและเหตุการณ์
· เด็กนำสิ่งของมาแสดงและเล่าเรื่อง
|
กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ
|
· ฟัง/ร้องเพลง ฟัง/ท่องกลอน คำคล้องจอง และทำท่าทางประกอบ
· ฟังคำบรรยาย คำสั่ง ฯลฯ แล้วตีความเพื่อตอบสนองอย่างเหมาะสม
|
กิจกรรมกลุ่มใหญ่
|
· อภิปรายร่วมกับเพื่อนและครู
· กิจกรรมการอ่านร่วมกัน
· กิจกรรมการเขียนร่วมกัน
|
กิจกรรมการอ่านตามลำพัง
|
· ทุกคนในห้องเรียนเลือกหนังสือตามความสนใจมาอ่านเงียบๆ คนเดียว
|
กิจกรรมศิลปะและกิจกรรมมุมประสบการณ์
|
· กิจกรรมการอ่านอิสระในมุมประสบการณ์
· กิจกรรมการเขียนอิสระในมุมประสบการณ์
· การเล่นเกมภาษา
· การเล่าเรื่องซ้ำ
· การฟังครูอ่านออกเสียง
|
กิจกรรมกลางแจ้ง
|
· การอ่านป้ายต่างๆ ในสิ่งแวดล้อมตามโอกาส
|
กิจกรรมอาหารกลางวัน
|
· การบันทึกรายการอาหารที่เด็กรับประทาน
· การท่องกลอน หรือคำคล้องจอง
· การสนทนากับเพื่อนอย่างอิสระ
|
กิจกรรมนอนพักผ่อน
|
· การได้ฟังเพลงที่ผ่อนคลายอย่างมีความสุข
|
ก่อนกลับบ้าน
|
· เลือกหนังสือ และยืมหนังสือกลับบ้าน
|
จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่าการจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัยมีลักษณะบูรณาการทักษะทางภาษา โดยคำนึงองค์ประกอบสำคัญของภาษา คือ การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร เด็กจะมีโอกาสใช้ภาษาในกิจวัตรประจำวันอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
4. การจัดหลักสูตรแบบบูรณาการโดยตระหนักถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม
ช่วงปฐมวัยเป็นช่วงที่เด็กเพิ่งจากบ้านมาโรงเรียน เด็กแต่ละคนล้วนมีภูมิหลังที่แตกต่างกัน ตามวัฒนธรรมทางบ้านที่แตกต่างกัน การจัดหลักสูตรต้องคำนึงถึงความแตกต่างในข้อนี้ แม็กกี และริชเกลส์ (McGee and Richgels 2000: 157) กล่าวว่า เนื้อหาสาระ แนวคิดสำคัญที่นำมาใช้ในการจัดประสบการณ์ หรือความคาดหวังที่มีต่อการใช้ภาษาของเด็ก ควรมีความหลากหลาย และเอื้อต่อเด็กที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมในห้องเรียนนั้นๆ จากประสบการณ์ที่ผู้เขียนทำงานกับเด็กปฐมวัยจากชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีน พบว่า การใช้คำพูดกับเด็กในช่วงต้นของการเข้าเรียน ครูจำเป็นต้องศึกษาคำศัพท์ที่เด็กใช้ที่บ้าน เช่น หากครูพูดถึง "คุณตา คุณยาย" เด็กจะไม่รู้จัก หากใช้คำว่า "อากง อาม่า" เด็กจะเข้าใจได้ เป็นต้น ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ควรตระหนัก คือ เด็กจะเรียนรู้ภาษาได้ดีถ้าเริ่มต้นจากภาษาแม่ของเด็ก หรือภาษาที่เด็กใช้ที่บ้าน นอกจากการใช้ภาษากับเด็กแล้ว ครูควรกำหนดหัวเรื่อง หรือหน่วยที่นำมาจัดประสบการณ์ให้สัมพันธ์กับวัฒนธรรมทางบ้านของเด็ก เพื่อเป็นสื่อในการเรียนรู้ที่เด็กมีประสบการณ์พื้นฐาน ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนรู้ในเรื่องอื่นๆ ต่อไป
5. ใช้การประเมินเพื่อชี้นำการสอน
การประเมินถือเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเรียนการสอน การประเมินช่วยให้ครูทราบพัฒนาการของเด็ก เข้าใจเด็ก และรู้ว่าจะพัฒนาเด็กอย่างไร แม็กกี และริชเกลส์ (McGee and Richgels 2000: 160) กล่าวว่า การจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยด้านภาษาที่มีคุณภาพ ต้อง เริ่มต้นจากการวางแผนที่ดี ซึ่งการวางแผนจะทำได้ดียิ่งขึ้นหากมีการประเมินระดับพัฒนาการของเด็กก่อนที่จะนำมาวางแผนการจัดประสบการณ์ การที่ครูเฝ้าดูเด็ก (Kid Watching) และสังเกตการใช้ภาษาของเด็กช่วยให้ครูทราบว่าเด็กแต่ละคนมีจุดเด่น ความต้องการ ความสนใจ และต้องการความช่วยเหลือในเรื่องใดทำให้ครูสามารถส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาของเด็กได้อย่างเต็มที่ อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า การประเมินที่ดีต้องผสมผสานเป็นเนื้อเดียวกันกับการสอน ขณะที่ครูสอนครูจะทำการประเมินพัฒนาการทางภาษาของเด็กไปด้วย และนำผลการประเมินนั้นๆ มาใช้ในการวางแผนการจัดประสบการณ์ต่อไป
|