การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน |
เขียนโดย นฤมล เนียมหอม
|
หน้า 1 จาก 3 การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom Action Research) เป็นการทำวิจัยโดยครูผู้สอนในชั้นเรียน เพื่อแก้ปัญหาในชั้นเรียน และนำผลมาใช้ในการปรับปรุงการจัดประสบการณ์ของครู ถือได้ว่าการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และสร้างความรู้ในการปฏิบัติงานของครู ทั้งนี้ สุวิมล ว่องวาณิช (2550: 22) ได้นำเสนอลักษณะสำคัญของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนไว้ ดังต่อไปนี้
การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน คือ การวิจัยที่มีลักษณะดังนี้
|
ใคร
|
ครูผู้สอนในห้องเรียน
|
ทำอะไร
|
ทำการแสวงหาวิธีการแก้ไขปัญหา
|
ที่ไหน
|
ที่เกิดขึ้นในห้องเรียน
|
เมื่อไร
|
ในขณะที่การเรียนการสอนกำลังเกิดขึ้น
|
อย่างไร
|
ด้วยวิธีการวิจัยที่มีวงจรการทำงานต่อเนื่องและสะท้อนกลับการทำงานของตนเอง (Self-reflection) โดยมีขั้นตอนหลัก คือ การทำงานตามวงจร PAOR [การวางแผน (Plan), การปฏิบัติตามแผน (Act), การสังเกตผลที่เกิดจากการปฏิบัติ (Observe), การสะท้อนผลหลังการปฏิบัติงาน (Reflect & Revise)]
|
เพื่อจุดมุ่งหมายใด
|
มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียน
|
ลักษณะเด่นการวิจัย
|
เป็นกระบวนการวิจัยที่ทำอย่างรวดเร็ว โดยครูผู้สอนนำวิธีการแก้ปัญหาที่ตนคิดขึ้นไปทดลองใช้กับผู้เรียนทันและสังเกตผลการแก้ปัญหานั้น มีการสะท้อนผล และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนครูในโรงเรียน เป็นการวิจัยแบบร่วมมือ (Collaborative research)
|
ศูนย์พัฒนาการเรียนรู้และวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ม.ป.ป.: 3) ได้ระบุหลักการของการทำวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนไว้ดังนี้
1. การวิจัยปฏิบัติการในโรงเรียนแท้ๆ ต้องเป็น "งานเล็กๆ ง่ายๆ และมีคุณค่า" (A small, simple and significant task) ที่บูรณาการอยู่ในการปฏิบัติงานการจัดการเรียนการสอนปกติของครู
2. เราทั้งผองสามารถเรียนรู้จากกันและกัน (We all can learn from each others)
ทั้งนี้ ศูนย์พัฒนาการเรียนรู้และวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ม.ป.ป.: 7) ได้แนะนำเกี่ยวกับแบบของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน 4 สถานการณ์ ดังนี้
สถานการณ์
|
ควรทำวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนแบบใด
|
|
คำถามวิจัย
|
การจัดเก็บข้อมูล
|
ต้องรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคลเพื่อวางแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
|
CAR 1:
การวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล
|
1) นักเรียนมีลักษณะอย่างไร
2) ควรปรับปรุงและพัฒนา
นักเรียนคนใดในเรื่อง
อะไรบ้าง
3) ควรใช้แผนกิจกรรมการ
เรียนรู้อย่างไร
|
1) พัฒนาการทุกด้าน
2) ความสนใจ ความถนัด
ศักยภาพ และความต้องการ
จำเป็น
|
ต้องประเมินเพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้และพฤติกรรมการสอน
|
CAR 2:
การประเมินเพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้และการสอนของตนเอง
|
1) ความสำเร็จของการสอนมี
อะไรบ้าง มีสาเหตุและ
ปัจจัยมาจากอะไร
2) ปัญหาของการสอนมี
อะไรบ้าง และมีสาเหตุและ
ปัจจัยมาจากอะไร
3) แนวทางแก้ไขปรับปรุง
พัฒนาแผนการจัดการ
เรียนรู้และพฤติกรรมการ
สอนของตนเอง มีอะไรบ้าง
|
1) บันทึกระหว่างสอนและ
หลังสอน
2) การสังเกตพฤติกรรม
นักเรียนทั้งในและนอก
ห้องเรียน
3) การสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง
4) ผลงานนักเรียน
5) การประชุมระดับชั้นและ
ประชุมกลุ่มสาระ
|
ครูสังเกตเห็นว่านักเรียนบางคนมีปัญหาที่ครูต้องช่วยคลี่คลายและแก้ไข
|
CAR 3:
กรณีศึกษานักเรียน
|
1) นักเรียนมีปัญหาอะไรบ้าง
2) สาเหตุและปัจจัยของปัญหา
มีอะไรบ้าง
3) แนวทางการแก้ไขควรมี
เป้าหมาย/ขั้นตอนอย่างไร
4) ผลการแก้ไขมีความสำเร็จ
และปัญหาอย่างไร และควร
พัฒนาต่อไปอย่างไร
|
1) การสังเกตในสภาพต่างๆ
ทั้งในและนอกห้องเรียน
2) การสัมภาษณ์ผู้เรียนและ
ผู้เกี่ยวข้อง
3) วิเคราะห์เอกสารต่างๆ
|
ครูต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้จึงสร้างนวัตกรรมเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้
|
CAR 4:
การพัฒนานวัตกรรม
การจัดการเรียนรู้
|
1) ผลลัพธ์ที่ต้องการพัฒนา
และหลักในการพัฒนามี
อะไรบ้าง
2) การสร้างนวัตกรรมควรทำ
อะไรบ้าง
3) ผลการทดลองใช้นวัตกรรม
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและ
ประสิทธิผลในการเรียนรู้
และการสอนหรือไม่
4) นวัตกรรมควรได้รับการ
ปรับปรุงและพัฒนาต่อไป
อย่างไร
|
1) ข้อมูลสภาวะเริ่มต้น
2) ข้อมูลพัฒนาทางพฤติกรรม
การเรียนรู้ของผู้เรียน
3) ข้อมูลการเปลี่ยนแปลง
ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน
|
กล่าวโดยสรุปได้ว่าการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนเป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน โดยครูผู้สอนในชั้นเรียนนั้นๆ เป็นการดำเนินการที่มีการวางแผน การปฏิบัติ การสังเกตผล และการสะท้อนกลับ ซึ่งเป็นการวิจัยที่ทำเร็ว นำผลไปใช้ได้ทันที นำไปสู่การจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้เรียนอย่างแท้จริง
<< เริ่ม < ก่อนหน้า 1 2 3 ต่อไป > สุดท้าย >> |