การสร้างวินัยในตนเองให้แก่เด็กปฐมวัย |
โต๊ะทำงานห้องครูแมว - งานเขียนครูแมว | |
เขียนโดย นฤมล เนียมหอม | |
หน้า 5 จาก 7 2. การจัดประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อการสร้างวินัยในตนเองให้แก่เด็ก ช่วงปฐมวัยเป็นช่วงที่เด็กสามารถเรียนรู้ทักษะและพฤติกรรมทางสังคมที่นำไปสู่การมีวินัยในตนเอง ได้แก่ การพึ่งตนเอง ความเชื่อมั่นในตนเอง การเห็นใจ เข้าใจ ร่วมรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น การควบคุมอารมณ์ การปฏิบัติตามมารยาทสังคม และการมีพฤติกรรมแบบร่วมมือ (Gordon and Browne, 1996: 214-216) ครูควรจัดประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อการสร้างวินัยในตนเองให้แก่เด็ก ดังนี้ 2.1 การจัดประสบการณ์เพื่อให้เด็กเรียนรู้ที่จะพึ่งตนเอง การพึ่งตนเองของเด็กเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ที่จะมีวินัยในตนเอง ตามทฤษฎีของอีริคสัน (Leatzow et al., 2542: 26-27) กล่าวถึงความสัมพันธ์ของการพึ่งตนเองกับการมีวินัยในตนเองของเด็ก ไว้ว่าเด็กที่สามารถทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองจะรู้สึกว่าตนมีความสามารถ และเป็นคนที่ควบคุมตนเองได้ในที่สุด ส่วนเด็กที่รู้สึกว่าตนไม่ประสบความสำเร็จ ทำอะไรด้วยตนเองไม่ได้อยู่เสมอ จะรู้สึกว่าตนอ่อนแอ พึ่งตนเองไม่ได้ และเกิดความสงสัยว่าตนจะทำอะไรตามลำพังได้หรือไม่ ลักษณะเช่นนี้ทำให้เด็กอยู่ในตำแหน่งของความสงสัยในตนเอง และไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ครูเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ที่จะพึ่งตนเอง Leatzow และคณะ (2542: 25) แสดงความคิดเห็นไว้ว่า ผู้ใหญ่เปรียบเสมือน "ผู้ให้ใบอนุญาต" ให้เด็กพัฒนาการพึ่งตนเอง ถ้าปราศจากความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่เด็กคงเรียนรู้ที่จะพึ่งตนเองไม่ได้ เด็กควรได้ฝึกช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวัน เช่น การหยิบและเก็บของเล่นหรือของใช้ส่วนตัว การรับประทานอาหาร การใช้ห้องน้ำห้องส้วม การแต่งตัว การปูที่นอน อย่างไรก็ตามครูควรพิจารณาว่าสิ่งที่ฝึกให้เด็กช่วยเหลือตนเองนั้นต้องเหมาะสมกับพัฒนาการตามวัยของเด็ก นอกจากนี้ ครูยังมีหน้าที่ทำให้เด็กเข้าใจว่าเด็กมีความสามารถในการแก้ปัญหาด้วยตนเองด้วย เนื่องจาก เป้าหมายหนึ่งที่สำคัญในการศึกษาปฐมวัย คือ การพยายามให้เด็กตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยตนเอง (Gartrell, 1994: 73; Leatzow et al., 2542: 187) เมื่อเด็กเผชิญกับสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความยุ่งยากต่างๆ เด็กต้องการให้ครูเข้าใจเขา ท่าทีอันสุขุมของครูที่ตอบสนองคำพูดหรือความรู้สึกของเด็ก และช่วยสะท้อนให้เด็กเข้าใจสถานการณ์ที่เผชิญอยู่เป็นการสนับสนุนให้เด็กสามารถหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเองต่อไป เด็กอาจต้องการความช่วยเหลือของครูในการ 1) ทำให้ความยุ่งยากที่เขาเผชิญอยู่ชัดเจนขึ้นว่าปัญหาที่แท้จริงเป็นอย่างไร 2) กระตุ้นให้เด็กคิดหาวิธีที่เป็นไปได้ในการแก้ปัญหา 3) ร่วมกันเลือกวิธีแก้ไขปัญหา และ 4) สนับสนุนให้เด็กแก้ปัญหาด้วยตนเองตามวิธีที่เลือกไว้ บางครั้งเด็กจะตกลงยอมรับวิธีแก้ปัญหาโดยไม่เข้าใจว่าต้องนำไปปฏิบัติอย่างไร ครูควรแสดงวิธีแก้ปัญหาร่วมกับเด็ก ครูอาจนำประสบการณ์การแก้ปัญหามาพูดคุยกับเด็กให้ภายหลังเพื่อให้เด็กมองเห็นความสำเร็จและความสามารถของตนซึ่งกระบวนการดังกล่าวเป็นกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เด็กที่มีโอกาสคิดด้วยตนเอง พึ่งตนเอง แก้ปัญหาด้วยตนเองย่อมมีความรู้สึกต่อตนเองในทางที่ดี ขณะเดียวกันก็เรียนรู้ที่จะยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นด้วย เด็กจะเป็นตัวของตัวเอง และมีวินัยในตนเอง 2.2 การจัดประสบการณ์เพื่อให้เด็กเรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นในตนเอง ความเชื่อมั่นในตนเองเป็นคุณลักษณะสำคัญที่ช่วยให้คนเรามีความเป็นตัวของตัวเอง กล้าคิด กล้าแสดงออกปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม และสามารถเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยความรู้สึกที่มั่นคง เด็กที่เชื่อมั่นในตนเองจะรู้จักตนเอง และมีวินัยในตนเอง ครูเป็นผู้ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมความเชื่อมั่นในตนเองให้แก่เด็ก ปฏิสัมพันธ์ของครูต่อเด็กที่เหมาะสมทั้งทางวาจา สีหน้า ท่าทาง ในขณะจัดกิจกรรม และอยู่ร่วมกับเด็กมีผลต่อความเชื่อมั่นในตนเองของเด็กทั้งสิ้น ปฏิสัมพันธ์ทางบวกของครู เช่น การพูดให้กำลังใจ การแสดงความชื่นชม การยอมรับความคิดเห็น ช่วยให้เด็กเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าคิด กล้าแสดงออก รู้ผลการกระทำของตนที่มีต่อผู้อื่น และมีความสุขในการเรียนรู้ ในทางตรงกันข้ามปฏิสัมพันธ์ทางลบ เช่น การเปรียบเทียบและตำหนิติเตียน การบังคับเด็กมากเกินไป หรือแม้แต่การออกคำสั่งตลอดเวลา ทำให้เด็กสูญเสียความเชื่อมั่นในตนเอง ครูจึงควรปล่อยให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง ได้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างเสรี เลือกงานในห้องด้วยตนเอง โดยมีครูช่วยแนะนำให้เด็กเลือกและทำเอง ทั้งนี้ ครูควรช่วยให้เด็กประสบความสำเร็จเมื่อเด็กต้องทำงานยากๆ ด้วยการแบ่งงานเป็นขั้นย่อยๆ ที่เด็กสามารถจะทำได้ (Gordon and Browne, 1995: 214) การช่วยเหลือเด็กด้วยความรักจะทำให้เด็กกลายเป็นคนรับผิดชอบการกระทำของตนเอง ส่งเสริมการเป็นตัวของตัวเอง และการนับถือตนเอง พร้อมกับช่วยให้เด็กรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ทำดี การใช้คำพูดอย่างสร้างสรรค์ของครูช่วยให้เด็กมีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความคิดสร้างสรรค์ และมีวินัยในตนเอง กล่าวคือ ครูควรลดคำพูดประเภทคำสั่ง เด็กที่เคยชินกับการรับคำสั่งจะไม่มั่นใจและไม่แน่ใจ เด็กจะขาดโอกาสในการคิด ตัดสินใจ ครูอาจใช้คำถามเพื่อให้เด็กได้สังเกต เปรียบเทียบ และริเริ่มด้วยตนเองโดยไม่ควรชี้แนะหรือช่วยเหลือตลอดเวลา เมื่อต้องการให้เด็กร่วมกิจกรรมครูควรพูดจูงใจและชักชวนเด็กด้วยเหตุผล เพื่อให้เด็กร่วมกิจกรรมโดยไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ และไม่เกิดความกังวลเมื่อปฏิบัติตามไม่ได้ อีกทั้งยังควรแสดงความชื่นชมกับการกระทำของเด็กที่ดี ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น โดยให้เด็กรู้เหตุผลและคุณค่าของการกระทำนั้นด้วย เนื่องจากความเชื่อมั่นในตนเองของเด็กจะเกิดขึ้นได้เมื่อเด็กตระหนักว่าตนเองมีคุณค่า และเป็นที่รัก (กรมวิชาการ, 2537: 1-16; ฝ่ายการศึกษาในโรงเรียนของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ, ม.ป.ป.: 273; Brewer, 2004: 176) 2.3 การจัดประสบการณ์เพื่อให้เด็กเรียนรู้ที่จะร่วมรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น การร่วมรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น (Empathy) เป็นการตอบสนองต่อความรู้สึกซึ่งเหมาะสมกับสถานการณ์ของผู้อื่นมากกว่าสถานการณ์ของตน (Hoffman, 1982: 281) ถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการเรียนรู้ทางศีลธรรม (Gootman, 2001: 74) เด็กอายุ 2-3 ปีสามารถแยกการรับรู้ระหว่างตนเองกับผู้อื่น และเมื่ออายุ 3-4 ปีสามารถรับรู้และตอบสนองต่อความสุข ความทุกข์ของผู้อื่น ช่วงปฐมวัยเป็นช่วงที่มีการพัฒนาด้านภาษาอย่างรวดเร็วทำให้เด็กเริ่มรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่นได้มากยิ่งขึ้นแม้กระทั่งอารมณ์ที่มีความซับซ้อน เช่น ผิดหวัง (Hoffman, 1982: 288) การสอนให้เด็กร่วมรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่นนั้น ครูต้องช่วยให้เด็กรู้จักคำพูดเกี่ยวกับอารมณ์และความรู้สึก โดยเริ่มต้นจากอารมณ์และความรู้สึกของตน แล้วจึงสังเกตอารมณ์และความรู้สึกของผู้อื่น โดยการสอนเรื่องนี้อาจบูรณาการเข้าไปในการเรียนการสอน เช่น หลังจากอ่านหนังสือให้เด็กฟังแล้วอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับอารมณ์และความรู้สึกของตัวละคร ท่องกลอนที่เกี่ยวกับอารมณ์หรือความรู้สึก ให้เด็กสังเกตปฏิกิริยาของผู้อื่นที่แสดงอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ ให้เด็กทำหน้ากากซึ่งแสดงอารมณ์ที่ต่างกัน เล่นละครสร้างสรรค์ หรือแสดงบทบาทสมมุติ เป็นต้น (Gootman, 2001: 71-72) สิ่งที่จำเป็นต้องสอนให้เด็กเข้าใจในเรื่องนี้ คือ การคิดถึงใจเขาใจเรา โดยกระตุ้นให้เริ่มนึกถึงจิตใจของผู้อื่น เช่น เมื่อเด็กไปดึงผมเพื่อน เพื่อนจะเจ็บ เมื่อแย่งของเล่นเพื่อน เพื่อนจะเสียใจ (นวลศิริ เปาโรหิตย์, ม.ป.ป.: 146) ในกรณีที่เด็กทำร้ายผู้อื่นเช่นนี้ ครูอาจให้เด็กลองนึกว่าถ้าตนเองเป็นผู้ถูกกระทำบ้างจะรู้สึกอย่างไร การถามคำถามเช่นนี้เป็นการกระตุ้นให้เด็กนึกถึงจิตใจของผู้อื่น (Hoffman, 1982: 306) วิธีการอื่นๆ ที่สอนให้เด็กร่วมรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น ได้แก่ การกระตุ้นให้เด็กแสดงพฤติกรรมที่ดีกับเพื่อน เช่น ขอให้เด็กแบ่งดินสอสีให้เพื่อน ช่วยเพื่อนต่อรูป หรือแม้แต่สอนให้เด็กรู้จักขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เช่น ขอให้เพื่อนมาช่วยยกของ ด้วยวิธีการเช่นนี้เด็กจะค่อยๆ เรียนรู้ว่าการที่คนเราอยู่ร่วมกันในสังคมได้นั้นต้องมีทั้งการให้และการรับ ไม่ใช่รับฝ่ายเดียว ครูควรสอนเด็กให้เมตตา และเผื่อแผ่ผู้อื่นในเวลาเดียวกัน (นวลศิริ เปาโรหิตย์, ม.ป.ป.: 147) ทั้งนี้การที่เด็กได้รับความรัก ได้รับการปฏิบัติด้วยความอ่อนโยน และมีประสบการณ์ที่ดี โดยไม่มีการลงโทษ ทำให้เด็กเรียนรู้เรื่องการร่วมรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ (Hoffman, 1982: 306) 2.4 การจัดประสบการณ์เพื่อให้เด็กเรียนรู้ที่จะแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสม อารมณ์เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับทุกประสบการณ์ของมนุษย์ ผู้ใหญ่จำนวนมากต้องใช้ความพยายามในการระงับอารมณ์ของตนเอง การช่วยให้เด็กซึ่งมีประสบการณ์ที่จำกัดแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสมจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง ช่วงปฐมวัยเป็นช่วงที่เด็กเรียนรู้ที่จะรับมือหรือจัดการกับอารมณ์ของตน กิจกรรมจากการวิจัยของ Browning, Davis และ Resta (2000: 233-234) ซึ่งใช้เพื่อสอนให้เด็กแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสม ได้แก่ กิจกรรมวงล้อแห่งทางเลือก (Wheel of choice) โดยครูจัดให้มีการอภิปรายร่วมกับเด็กเพื่อคิดหาวิธีการปฏิบัติที่เหมาะสมเมื่อเด็กเกิดความคับข้องใจ หงุดหงิด หรือถูกทำให้โกรธ หลังจากนั้นครูได้แนะนำวงล้อแห่งทางเลือกซึ่งประกอบไปด้วยการขอโทษ การบอกให้คู่กรณีหยุด การเดินไปที่อื่น และการพูดสะท้อนความรู้สึกของตนเอง แล้วแนะนำให้เด็กลองปฏิบัติโดยใช้บทบาทสมมติ ผลการวิจัยพบว่าพฤติกรรมการแสดงออกทางอารมณ์ที่ไม่เหมาะสมลดลง เด็กมีทักษะการแก้ปัญหาสูงขึ้น และข้อสังเกตจากการวิจัยชี้ให้เห็นว่าครูจะต้องช่วยด้วยการเตือนเป็นระยะๆ ตัวอย่างวิธีการอื่นๆ ที่ครูสามารถใช้ในการช่วยให้เด็กเรียนรู้วิธีแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสม (Dinkmeyer et al., 1989: 129-140) เช่น (1) ฟังสิ่งที่เด็กพูดและสะท้อนความรู้สึกของเด็กให้เด็กได้รับรู้ เช่น "ดูเหมือนหนูจะไม่ค่อยมีความสุข" "หนูไม่ค่อยพอใจใช่ไหมจ๊ะ" (2) ยอมรับความรู้สึกของเด็กและทำให้เด็กรู้ว่าครูรับรู้และเข้าใจ เช่น "ครูก็ได้ยินเสียงฟ้าร้อง เสียงมันน่ากลัวใช่ไหมจ๊ะ" (3) เล่นร่วมกับเด็ก เพราะการเล่นจะทำให้มีโอกาสพูดถึงความรู้สึกได้มากขึ้น การใช้ตุ๊กตาหรือหุ่นมือในการเล่นสมมุติกับเด็กช่วยให้ครูเข้าใจความรู้สึกของเด็กได้ง่ายขึ้น (4) ช่วยให้เด็กเรียนรู้ว่าคนเราอาจมีความรู้สึก 2 อย่างได้ในเวลาเดียวกัน เด็กอาจรู้สึกรักและโกรธใครบางคนได้ในเวลาเดียวกัน เช่น "จริงๆ หนูก็ชอบเล่นกับแก้วแต่ไม่ชอบตอนที่แก้วทำหน้าทะเล้นใช่ไหมจ๊ะ" (5) แสดงให้เด็กรู้ว่าครูเข้าใจความรู้สึกของเด็ก แต่การกระทำของเด็กต้องมีขอบเขตจำกัด เช่น "ครูรู้ว่าหนูโกรธที่พลอยทำบล็อกที่หนูต่อล้ม แต่หนูไปตีพลอยไม่ได้นะจ๊ะ มาเถอะมาต่อใหม่ดีกว่า" ความโกรธเป็นสภาพอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เด็ก เด็กแต่ละคนจะแสดงความโกรธออกมาต่างกัน เช่น ส่งเสียงดัง ขว้างปา ทุบสิ่งของ หรือตีคนอื่น โดยธรรมชาติเด็กจะรู้จักการแสดงออกทางอารมณ์ได้ดีขึ้นเมื่อโตขึ้น จะเริ่มรอคอยเป็น พูดเพราะขึ้น มีการให้ผู้อื่นได้มากขึ้น ไม่มีครูคนไหนจะมาคอยควบคุม ดูแลความประพฤติ ของเด็กได้ตลอดเวลา ครูทุกคนล้วนหวังให้สิ่งที่เราอบรมสั่งสอนเข้าไปปลูกฝังอยู่ในจิตใจของเด็ก จนกลายเป็นจิตสำนึกของตัวเด็กไปในที่สุด สิ่งที่สำคัญคือครูต้องตระหนักว่าสิ่งที่ครูอบรมสั่งสอนไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ต้องอาศัยระยะเวลา ความอดทนของครูเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเมื่ออยู่กับเด็ก เด็กจะซึมซับสิ่งที่ได้รับการอบรมสั่งสอน และนำแบบอย่างของครูที่ตนรักมาเป็นส่วนหนึ่งของจิตใจของเด็ก ในที่สุดเด็กจะเติบโตเป็นผู้ที่มีเหตุผล มีความอดทน อดกลั้น รู้จักควบคุมตนเอง และรู้จักการแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสม 2.5 การจัดประสบการณ์เพื่อให้เด็กเรียนรู้ที่จะปฏิบัติตามมารยาทสังคม มารยาทเป็นส่วนหนึ่งของการมีชีวิตร่วมกันในสังคม การสอนให้เด็กรู้จักประพฤติตามมารยาทสังคมเป็นเครื่องแสดงถึงน้ำใจไมตรีและการเอื้ออาทรต่อบุคคลรอบข้าง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีงามที่ควรปลูกฝัง การสอนมารยาทให้แก่เด็กไม่สามารถคอยให้เด็กโตแล้วจึงสอน เพราะเด็กเรียนรู้เรื่องมารยาทจากชีวิตประจำวัน (นวลศิริ เปาโรหิตย์, ม.ป.ป.: 34-35) มารยาทที่ควรสอนให้แก่เด็ก เช่น การไหว้และกล่าวสวัสดีเมื่อพบผู้ใหญ่ การพูดขอบคุณเมื่อมีคนช่วยเหลือหรือให้ของ การขอโทษเมื่อทำผิดพลาดหรือทำให้ผู้อื่นเสียใจ การช่วยเหลือผู้อื่น การพูดด้วยคำพูดที่สุภาพ การเคี้ยวอาหารเบาๆ ปิดปากเวลาเคี้ยว และไม่พูดคุยเมื่อมีอาหารในปาก การไม่ใช้ของส่วนตัวของผู้อื่น เดินก้มหลังเมื่อผ่านผู้ใหญ่ การไม่ยืนค้ำศีรษะหรือเล่นศีรษะของผู้ใหญ่ การบอกให้เด็กรู้ว่าสถานการณ์ใดควรแสดงออกอย่างไรจึงจะเหมาะสมโดยอธิบายเหตุผลให้เด็กฟังด้วยจึงเป็นวิธีหนึ่งของการสอนมารยาททางสังคมอย่างได้ผล ครูสามารถสอนมารยาทควบคู่ไปกับการที่เด็กต้องปฏิบัติตามมารยาทนั้นๆ เช่น เมื่อส่งของให้เด็ก อาจพูดว่า "ขอบคุณคุณครูก่อนค่ะ อย่ารับไปเฉยๆ" หรือขณะที่รับประทานอาหารร่วมกัน ครูอาจบอกเด็กที่คุยเมื่ออาหารอยู่ในปากว่า "เคี้ยวให้เสร็จก่อนค่ะ แล้วค่อยพูด เดี๋ยวข้าวติดคอ" หรือ "เคี้ยวข้าวช้าๆ ให้ละเอียดนะคะ" เป็นต้น วิธีที่ดีที่สุดในการอบรมสั่งสอนมารยาทสังคม คือ การที่ครูเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็ก ครูที่ปฏิบัติต่อเด็กด้วยความอ่อนโยน เข้าใจ นุ่มนวล และมีมารยาททางสังคมที่เหมาะสม ประกอบกับการอบรมสั่งสอนของครู เด็กจะปฏิบัติตามมารยาทสังคมได้โดยครูไม่ต้องเหนื่อยยากเลย 2.6 การจัดประสบการณ์เพื่อให้เด็กเรียนรู้ที่จะมีพฤติกรรมแบบร่วมมือ ตามทฤษฎีของอีริคสัน (Leatzow et al., 2542: 29-31) กล่าวถึงภาระที่ท้าทายของเด็กวัย 3-5 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตของการริเริ่มและความละอายไว้ว่า ช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กต้องสร้างความสมดุลระหว่างการยึดตนเองเป็นศูนย์กลางกับความต้องการที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคม เด็กวัยนี้ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดีและต้องการคำแนะนำจากผู้ใหญ่ การเล่นของเด็กวัยนี้เป็นการเล่นกับกลุ่มเพื่อนซึ่งเด็กจะได้เรียนรู้ว่าเป้าหมายของเขาอาจไม่ตรงกับเป้าหมายหรือแผนการของคนอื่น หากเด็กประสบความสำเร็จในการติดต่อสัมพันธ์กับกลุ่มเพื่อน เด็กจะภาคภูมิใจในความสามารถของตน ถ้ารับประสบการณ์ในทางตรงกันข้ามจะพัฒนาไปสู่ความรู้สึกผิดและละอายที่จะทำสิ่งต่างๆ ความสามารถในการเข้ากับผู้อื่นเป็นทักษะทางสังคมที่เด็กต้องพัฒนาเพื่อให้ประสบความสำเร็จและพึงพอใจกับชีวิต ทักษะสำคัญที่ครูควรฝึกให้แก่เด็กมีดังต่อไปนี้ (1) การแสดงความคิดและความรู้สึกของตนต่อผู้อื่น เด็กที่มีปัญหาการเข้ากับคนอื่นมักขาดทักษะการพูดสื่อสาร เพราะเด็กมักรู้แค่เพียงความต้องการของตนที่มีต่อคนอื่น ทำให้เด็กถูกปฏิเสธจากกลุ่มเพื่อน ส่งผลให้เด็กมีแนวโน้มที่จะเล่นกับเพื่อนอย่างไม่เหมาะสม เห็นได้จากเวลาที่เด็กต้องการเล่นกับเพื่อนแต่ไม่รู้จักวิธีพูด เด็กที่มีทักษะทางสังคมจะค่อยๆ เข้าไปสร้างความคุ้นเคยและเริ่มพูดว่า "น่าสนุกนะ" "เล่นยังไง" "ขอเล่นด้วยคน" แต่เด็กที่ขาดทักษะจะเข้าไปขัดจังหวะ หรือพูดในทำนองที่ว่า "แบบนี้ฉันก็มี" "ฉันเล่นดีกว่าเธออีก" "ฉันอยากจะเล่น ให้เล่นหน่อยสิ" ซึ่งทำให้ไม่เป็นที่ยอมรับของกลุ่ม ครูควรสังเกตทักษะด้านนี้ของเด็ก แล้วช่วยเหลือให้คำแนะนำกับเด็ก เป็นรายบุคคล ด้วยการพูดคุย เป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้คำพูดสื่อสาร ควรหาช่วงเวลาในการพูดคุยกับเด็กเป็นรายบุคคล การพูดคุยที่ดีควรมีความเป็นกันเอง แลกเปลี่ยนความเห็นและความรู้สึกได้ แบ่งปันประสบการณ์และความรู้สึก เล่าถึงปัญหาและวิธีการแก้ปัญหา หรือเล่าความใฝ่ฝันของแต่ละคน (อุสา สุทธิสาคร, 2544: 68-71) (2) การฟังและเข้าใจผู้อื่น เด็กที่ขาดทักษะการฟังมักจะมีปัญหาในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น เนื่องจากการไม่ตั้งใจฟังทำให้ไม่รู้ว่าผู้อื่นคิดอย่างไร หรือหมายความว่าอย่างไร และมักจะทำให้มีความคิดต่อผู้อื่นไม่ตรงตามความเป็นจริง ครูควรสอนให้เด็กรู้จักฟังอย่างตั้งใจ รู้จักสังเกตภาษากายของคู่สนทนาด้วย ตัวอย่างกิจกรรมที่ฝึกทักษะการฟัง เช่น การใช้เกมการฟัง เช่น โทรศัพท์ เกมกระซิบข้อความ การจัดช่วงเวลาสำหรับการเล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง การนำสิ่งของมาแสดงและเล่าเรื่อง (Show and tell) การนำเสนอผลงานของเด็ก การเล่นสมมติ หรือการเล่นละครสร้างสรรค์ เป็นต้น (Gootman, 2001:77-78) (3) การประนีประนอมและเจรจาตกลง เป็นทักษะที่จำเป็น อย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างเด็ก ตัวอย่างกิจกรรมที่ใช้สอนทักษะนี้ในโรงเรียนอนุบาล เช่น กิจกรรมเก้าอี้ของการพูดและฟัง (Talk and listen chairs) ซึ่งใช้เมื่อเด็กเกิดการโต้เถียงกัน ครูจะให้เด็กผลัดกันใช้เก้าอี้สำหรับพูด และเก้าอี้สำหรับฟัง เพื่อฝึกทักษะการประนีประนอม และทักษะการเจรจาตกลงให้แก่เด็ก (Gartrell, 1994: 74) (4) ความร่วมมือและการทำงานในฐานะสมาชิกของกลุ่ม ครูควรจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เช่น การทำกิจกรรมตามโครงการร่วมกัน การทำงานศิลปะแบบร่วมมือ โดยเริ่มต้นจากการมอบหมายให้เด็กทำงานเป็นคู่ก่อน แล้วจึงค่อยฝึกการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ การให้เด็กเล่นร่วมกับเพื่อนก็เป็นสื่อที่จะทำให้เด็กรู้จักหน้าที่ ความรับผิดชอบ และส่งเสริมพฤติกรรมแบบร่วมมือเช่นกัน (Gootman, 2001:79) นอกจากนี้ครูควรมอบหมายให้เด็กช่วยทำงานต่างๆ ในห้องเรียนด้วย การทำงานจะช่วยให้เด็กรู้จักมีส่วนร่วม และรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของห้องเรียน และเป็นการแนะนำให้เด็กรู้จักโลกของการทำงานจริงๆ ด้วย สิ่งที่มอบหมายให้เด็กช่วย เช่น การจัดอุปกรณ์ศิลปะ การทำความสะอาดห้องเรียน การตักอาหาร การให้อาหารปลา การรดน้ำต้นไม้ การจัดของเล่นของใช้ให้เรียบร้อย การมอบหมายให้เด็กทำงานนี้ควรให้เด็กมีโอกาสเลือกเอง ทำให้เด็กรู้สึกสนุกที่จะทำ ครูไม่ควรควบคุมการงานของเด็กมากเกินไป ควรปล่อยให้เด็กคิดเองบ้างในรายละเอียด ไม่หวังผลสูงเกินไป และไม่ควรใช้การมอบหมายให้ทำงานเป็นการลงโทษเด็ก (วัชรี ธุวธรรม, 2528: 154-156) |